สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ใน ไทย
อวัยวะในร่างกายของเรา มีมากมายหลายชิ้นด้วยกัน แต่ก็ถือว่าทุกส่วน ย่อมมีความสำคัญและจำเป็น ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน อย่างเช่น เข่า ก็เหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนประกอบ ของร่างกายที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป แต่รู้หรือไม่ว่า ข้อเข่า มีบทบาทต่อการเคลื่อนไหว ของร่างกายมาก บางครั้งหลายคนอาจจะ มีพฤติกรรมในการใช้ข้อเข่า ที่ไม่เหมาะสม จนอาจจะทำให้ข้อเข่าเกิดภาวะเสื่อม ก่อนวัยอันสมควร
ข้อเข่า จะมีการเชื่อมระหว่างหัวกระดูกต้นขา และเบ้ากระดูกหน้าแข้ง โดยจะมีกระดูกอ่อนปกป้องไว้ และมีน้ำคอยหล่อลื่น ช่วยลดแรงกดกระแทก ขณะที่เราเคลื่อนไหว และเมื่อไร ที่มีการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อน นั่นก็จะเป็นสาเหตุหลัก ที่จะทำให้เข่าติดขัด จนเกิดการอักเสบ บวม และปวดขึ้นมาทันที ซึ่งเรียกว่า "ข้อเข่าเสื่อม"
สาเหตุหลักที่จะทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อม ก็จะมี
- อายุที่มากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะพบมากในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
- เพศ สำหรับเพศหญิง จะมีโอกาสเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะวัยหมดประจำเดือน
- น้ำหนักตัว เป็นสาเหตุสำคัญมาก เพราะยิ่งมีน้ำหนักตัวที่มาก ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันในข้อเข่า ให้แบกรับน้ำหนักมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้กระดูกอ่อนผิวข้อเข่าชำรุด สึกหรอ และเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร
- การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบริเวณข้อเข่า เช่น จากการเล่นกีฬา บางประเภท เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล หรือการเกิดอุบัติเหตุบริเวณข้อเข่า ทำให้ความแข็งแรงลดน้อยลง
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
สำหรับปัจจุบัน ที่มีวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ล้ำสมัย ก็ได้มีสถานพยาบาลหลายแห่งด้วยกัน ที่สามารถรักษาข้อเข่าเสื่อมได้ และทำได้หลายวิธี ซึ่งแพทย์จะพิจารณาจาก อาการของแต่ละคน และความรุนแรง ถ้าอาการยังไม่รุนแรงมากนัก ก็อาจจะใช้วิธีการรักษาด้วยการฉีดน้ำหล่อลื่นผิวข้อเข่า เพื่อลดการเสียดสีเวลามีการเคลื่อนไหว แต่ถ้าหากมีอาการปวด ที่รุนแรงเรื้อรังมานาน ส่วนใหญ่แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วย ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เพื่อทดแทนข้อเข่าที่เสื่อม
ผู้ป่วยจะต้องนอนโรงพยาบาล เพื่อเตรียมความพร้อม หลังจากนั้น วิสัญญีแพทย์จะมาแนะนำวิธีการระงับความรู้สึก ระหว่างการผ่าตัด ซึ่งจะมี 2 วิธี คือ การดมยาสลบ และการฉีดยาเข้าไขสันหลัง โดยวิธีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ ของวิสัญญีแพทย์ การผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เป็นการผ่าตัดเอาผิวข้อ ที่เสื่อมสภาพออกไป แล้วใส่ผิวข้อใหม่ซึ่งทำมาจาก วัสดุพิเศษทางการแพทย์ ที่มีความแข็งแรงทนทาน เข้าไปใส่แทน แพทย์จะต้องปรับความตึง หรือหย่อนของเนื้อเยื่อรอบข้อเข่า เพื่อให้ขามีรูปร่างปกติ ไม่โก่ง ผิดรูป ตำแหน่งของข้อเข่าที่ถูกต้อง จะช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้ดี หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะต้องอยู่ในห้องพักฟื้นเป็นเวลา 1-2 ชั่วโมง เมื่อฟื้นตัวจากยาสลบ จึงจะทำการย้ายไปพักในห้องพักของผู้ป่วย ซึ่งการเปลี่ยนข้อเข่าเทียม จะได้ผลดีมากน้อยเพียงใดนั้น ก็จะขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย เช่น
- ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของศัลยแพทย์ที่ทำการผ่าตัด
- สภาพของข้อเข่าของผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด ถ้าหากข้อเข่าติดแข็งหรือผิดรูปมาก ๆ ก็จะต้องใช้วิธีการบริหารข้อเข่า หลังผ่าตัดเพื่อช่วยฟื้นฟู
- ความร่วมมือของผู้ป่วย หลังผ่าตัดในเรื่องของการทำกายภาพ หรือการบริหารข้อเข่า
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะต้องอยู่รักษาตัว และติดตามดูอาการในโรงพยาบาล 5-7 วัน หลังการผ่าตัด โดยในช่วงแรก ๆ ของการผ่าตัด
- จะมีสายสวนปัสสาวะ เพื่อให้แพทย์สามารถคุมปริมาณของเลือด และน้ำในร่างกายผู้ป่วยได้ถูกต้อง
- เข็มแทงที่เส้นเลือดดำ เพื่อเป็นการให้เลือด น้ำเกลือ และยาปฏิชีวนะ หลังการผ่าตัดใหม่ ๆ อาจจะมีอาการคลื่นไส้ จำเป็นที่จะต้องให้น้ำเกลือ
- จะมีการให้ยาปฏิชีวนะ 1/2 - 1 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด และให้ต่อไปอีก 1-2 วันหลังการผ่าตัด
- การผ่าตัดต้องตัดกระดูกและกล้ามเนื้อ อาจมีการเสียเลือดมาก จำเป็นจะต้องให้เลือดทดแทน
- มีท่อดูดเลือดที่ต่อออกจากบริเวณผ่าตัด และจะใส่ท่อไว้จนเลือดบริเวณผ่าตัดหยุด ปกติก็จะประมาณ 2-3 วัน
- หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะมีอาการหายใจแรง ไอบ่อย เพื่อให้ปอดขยายตัวได้ดีขึ้น เป็นการป้องกันภาวะปอดบวม อาจจะมีการใส่เครื่องช่วยขยับเข่า (Continuous Passive Motion - CCPM) วันที่ 2-3 หลังการผ่าตัด แพทย์จะให้เริ่มบริหารเข่า และเริ่มลุกนั่ง-ยืน และหัดเดิน โดยจะมีนักกายภาพบำบัดคอยช่วยเหลือ เมื่อผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แผลผ่าตัดไม่มีอาการติดเชื้อ ก็สามารถกลับบ้านได้ ส่วนใหญ่จะใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาล 5-7 วัน
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
ข้อควรปฏิบัติและการดูแลหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
- พยายามให้ผู้ป่วยได้เดินบ้าง เท่าที่จะทนไหว หรือเท่าที่ไม่มีอาการปวด หรือบาดเจ็บ
- ถ้าหากมีน้ำหนักตัวเยอะ ก็ควรจะต้องลดน้ำหนักก่อน ค่อยเริ่มเดิน
- เฝ้าระวังการติดเชื้อในข้อเข่าหลังผ่าตัด เพราะข้อเข่าเทียมเป็นบริเวณที่ภูมิคุ้มกันเข้าไม่ถึง เมื่อมีการติดเชื้อจะรักษาได้ยาก ต้องหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารถูกสุขลักษณะ หากไม่สบายก็ต้องรีบไปพบแพทย์
- ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ของข้อเข่าเทียม คือ หัตถการเกี่ยวกับช่องปาก และทางเดินปัสสาวะ เมื่อไปพบทันตแพทย์หรือแพทย์ ที่เกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ จะต้องแจ้งแพทย์ทุกครั้ง ว่าเคยผ่านการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
ปัจจุบันพบว่า มากกว่า 90% ของผู้ป่วย ที่เข้ารับผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม จะรู้สึกดีขึ้น และมีอาการเจ็บปวดน้อยลง สามารถที่จะใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ก็ยังจะต้องหลีกเลี่ยงบางกิจกรรม หลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม นั่นก็คือ กีฬาที่มีแรงกระแทก เช่น การวิ่ง กระโดด นอกจากนี้ก็จะเป็น การนั่งยอง ๆ การนั่งคุกเข่า ที่สำคัญ จะต้องหลีกเลี่ยงการนั่งส้วม แบบนั่งยอง ๆ โดยเด็ดขาด
จะมีแค่เพียง 2% เท่านั้นที่อาจจะมีการติดเชื้อของข้อเข่า หลังการผ่าตัดอย่างรุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ รวมไปถึงเกิดภาวะการก่อตัวของลิ่มเลือด ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุ ของการเกิดเส้นเลือดอุดตันที่ปอด และอาจจะส่งผลให้เสียชีวิตได้
ในผู้ป่วย 80% พบว่าข้อเข่าเทียมจะสามารถอยู่ได้นานกว่า 20 ปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การใช้งานของข้อเข่าของผู้ป่วย ความเชี่ยวชาญของศัลยแพทย์กระดูก และคุณสมบัติของข้อเทียม สิ่งสำคัญผู้ป่วยจะต้องดูแลน้ำหนักตัวไม่ให้เพิ่มมากขึ้น หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อข้อเข่า ไม่ปล่อยให้ตัวเองติดเชื้อที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ เช่น ไม่ปล่อยให้ตัวเองฟันผุ เหงือกอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือเป็นแผลที่เล็บเท้า เพียงแค่นี้ ก็จะช่วยยืดอายุให้ข้อเข่าเทียม มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นได้
ประเทศไทย มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางราชการว่า ราชอาณาจักรไทย ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายโดยแบ่งออกเป็น 4 ภูมิภาค 77 จังหวัด และมีอากาศค่อนข้างร้อนชื้นตลอดทั้งปี
เป็นที่ยอมรับกันว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก นำพาชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยให้เดินทางมาท่องเที่ยวและอาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วยเหตุผลนานานับประการ และในปัจจุบันประเทศไทยยังมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เนื่องจากมีความพร้อมในการให้บริการที่ได้มาตรฐานในระบบสากล รวมทั้งมีค่ารักษาพยาบาลที่ถูกกว่า และใน ปัจจุบัน ประเทศไทย มีจํานวนสถานพยาบาล ที่ได้รับ การรับรอง มาตรฐาน ในระดับ สากล JCI มากที่สุดใน AEC ถึง 56 แห่ง ซึ่งมาก เป็นอันดับ 4 ของโลก อีกด้วย
จังหวัดท่องเที่ยวที่ยอดนิยมของไทย
กรุงเทพมหานคร อันดับหนึ่งตลอดกาลคงต้องยกให้กับจังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยและเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมากมาย แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีย่านธุรกิจ และ แหล่งช้อปปิ้งอีกมากมาย ซึ่งถ้าพูดถึงที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ทุกคนต้องแวะไป ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติคือ วัดพระแก้ว, วัดอรุณ, วัดโพธิ์, เยาวราช, ถนนข้าวสาร, ตลาดนัดจตุจักร และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งการเดินทางคมนาคมในกรุงเทพฯนั้นก็แสนจะสะดวกสบาย สามารถเดินทางได้โดยขนส่งสาธารณะ เช่น Airport link, BTS, MRT, รถแทกซี่, รถเมล์, รถตุ๊กตุ๊ก เป็นต้น
เชียงใหม่ เชียงใหม่ก็ถือเป็นเมืองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในช่วงหน้าหนาว ซึ่งมีอากาศที่ค่อนข้างเย็นสบายละมีบรรยากาศที่ดี เชียงใหม่ยังเป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สมบูรณ์ และยังเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม สถานที่ที่น่าสนใจในเชียงใหม่ ได้แก่ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์ ถนนนิมมานเหมินทร์ วัดอุโมงค์ เป็นต้น เชียงใหม่เป็นเหมือนศุนย์กลางการท่องเที่ยวทางภาคเหนือ เพราะสามารถต่อรถไปยังที่เที่ยวรอบ ๆ ได้อย่างสะดวก เช่น จ. เชียงราย, จ. แม่ฮ่องสอน เป็นต้น
ภูเก็ต เกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีหาดทรายที่สวยงาม มีน้ำทะเลใส เหมาะกับการเล่นน้ำและดำน้ำ หรือทำกิจกรรมทางน้ำแบบอื่น ๆ ชายหาดที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวก็คือ หาดป่าตอง, หาดกะตะ, หาดกะรน เป็นต้น ทั้งสามารถซื้อทัวร์แบบไปเช้าเย็นกลับยังเกาะใกล้ ๆได้ เช่น หมู่เกาะพีพี, เกาะราชา, เกาะไข่ เป็นต้น หากใครที่ไม่ชอบทะเล ก็สามารถเข้าไปเที่ยวชมวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวภูเก็ตภายในตัวเมืองได้ เช่น สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสที่ถนนถลาง, ซอยรมณีย์ หรือ ไหว้พระขอพรจากวัดฉลองซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวภูเก็ต เป็นต้น
พัทยา ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนและเป็นที่นิยมมากแห่งหนึ่งไม่แพ้สถานที่อื่น ๆ และเป็นที่รู้จักกันมากกว่าตัวจังหวัด และเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตของคนไทยเพราะใกล้กรุงเทพเพียงแค่ 100 กิโลเมตร สามารถมาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้สบาย และนอกจาก วอล์คกิ้งสตรีท ที่หลายๆคนนึกถึง พัทยายังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ปราสาทสัจธรรม, สวนน้ำรามายณะ เป็นต้น ซึ่งการเดินทางยอดนิยมสำหรับการมาพัทยาคือ การขับรถยนต์ส่วนตัว และการนั่งรถตู้จากกรุงเทพฯ และเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับเดินทางมาพักผ่อนแบบครอบครัวอีกด้วย
สภาพภูมิอากาศของประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เขตศูนย์สูตร มีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็นตัวกำหนดลักษณะอากาศของประเทศไทย พื้นที่ส่วนบนเป็นภูเขาและที่ราบสูง พื้นที่ส่วนกลางเป็นที่ราบลุ่ม พื้นที่ทางใต้เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล
ลักษณะภูมิอากาศ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล ดังนี้ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม, ฤดูฝน จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ถึงตุลาคม และฤดูหนาว จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน ถึงมกราคม
อุณหภูมิโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ร้อนและไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีค่าเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 27 องศาเซลเซียส มีค่าสูงสุดเฉลี่ย 32 องศาเซลเซียส และและต่ำสุด 22 องศาเซลเซียส โดยมีค่าอุณหภูมิผันแปรตามสภาพภูมิประเทศ กล่าวคือ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศร้อนจัดและหนาวจัดกว่าภาคอื่น ๆ, ภาคกลางและภาคตะวันออก มีบางส่วนของพื้นที่ติดกับทะเล ทำให้อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วไปประมาณ 28 องศาเซลเซียส, ภาคใต้ทั้งสองฝั่งล้อมรอบด้วยทะเล อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27.3 องศาเซลเซียส
การเดินทางในประเทศไทย
การเดินทางในประเทศไทย ไม่ว่าจะเดินทางไปที่จังหวัดไหนก็มีความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางอากาศ หรือทางน้ำ
ทางบก ก็มีเส้นทางหลักที่สะดวกไปได้ทั่วถึงทุกจังหวัดในประเทศไทย และมีทางเลือกที่หลากหลาย เช่น การเดินทางโดยรถประจำทาง, รถแทกซี่ (มีบริการในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ๆ), รถมอเตอร์ไซค์ (นิยมใช้บริการในระยะใกล้ๆ) รถเช่า, หรือรถยนต์ส่วนบุคคล
ทางอากาศ ปัจจุบันประเทศไทยมีสายการบินในประเทศหลายสาย ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดนิยม เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยว
ทางน้ำ เนื่องจากเมืองไทยมีแม่น้ำลำคลองอยู่ทั่วไป และยังมีหลายคลองที่มีเรือโดยสารวิ่งรับส่งคนตามท่าเรือต่าง ๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
ประชากรในประเทศไทย
ประเทศไทย มีจำนวนประชากรโดยประมาณ 65 ล้านคนซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยประมาณ 3 ใน 4 มีเชื้อสายไทย นอกจากนี้ยังมีคนไทยเชื้อสายจีนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งคนไทยเชื้อสายมลายูในภาคใต้ตอนล่าง และคนไทยเชื้อสายมอญ เขมร และชาวเขาเผ่าต่าง ๆ และประชากรส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ตามลำดับ
ข้อมูลอื่น ๆ
ภาษา ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียว มีการระบุว่าเป็นภาษาหลักของการศึกษาและใช้ในราชการ ในขณะที่ ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่สองที่พบมากที่สุดในประเทศไทย
สกุลเงิน สกุลเงินที่ใช้เป็นสกุลเงินบาท
วันหยุด ราชการ ที่สำคัญ ของไทย ได้แก่ วัน ขึ้นปีใหม่, วัน สงกรานต์,วัน เฉลิมพระชน มพรรษา ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินี, วัน แม่แห่งชาติ เป็นต้น
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นับเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ทำรายได้เข้าสู่ประเทศอย่างมหาศาลในเวลาที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในประเทศไทย เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและโดดเด่น โดยที่ประเทศไทย ติดอันดับ 1 ของ เอเชีย เนื่องจากไทยมีหน่วยการแพทย์ที่มีคุณภาพ มีราคาที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้การรักษา รวมถึงประเทศไทยนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ มีจุดเด่น ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก และมีสถานพยาบาลที่พร้อม เช่น กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, และเกาะสมุย เป็นต้น