สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ สเต็มเซลล์บำบัด ใน ภูเก็ต
วิวัฒนาการด้านการพัฒนา ทางการแพทย์ของประเทศไทย ได้ก้าวไปสู่ความสำเร็จอีกด้าน นั่นก็คือ การรักษาโรค โดยใช้สเต็มเซลล์บำบัด ทีมแพทย์ไทยสามารถวิจัย และเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ ของอวัยวะที่หลากหลายจากผู้ป่วย อีกทั้ง สามารถดัดแปลงพันธุกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการนำไปปลูกถ่าย เพื่อใช้ในการรักษาโรคได้อีกด้วย
โดยทั่วไป หน้าที่ของสเต็มเซลล์ คือ การทำเซลล์ใหม่เพื่อมาทดแทนเซลล์เก่า จึงคิดว่าสเต็มเซลล์น่าจะสามารถ ใช้ในการรักษาผู้ป่วยจากโรคต่าง ๆ ได้ เมื่อผู้ป่วยได้รับสเต็มเซลล์ที่ปลูกมาจากสเต็มเซลล์ ความสามารถในธรรมชาติของสเต็มเซลล์ ก็จะทำหน้าที่รักษาโรคนั้น ๆ ด้วยการซ่อมแซมอวัยวะที่เสื่อมโทรม
เราสามารถเก็บแยกเซลล์ต้นกำเนิดได้จาก
- ไขกระดูก
- กระแสเลือด
- รกของเด็กแรกเกิด
ขั้นตอนในการใช้ สเต็มเซลล์บำบัด ก็จะเริ่มด้วย
- การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดโดยใช้เซลล์ของตนเอง (autologous stem cell transplantation) หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาจนหายแล้ว แพทย์จะทำการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดของผู้ป่วยไว้ อาจจะเก็บจากไขกระดูก หรือจากเลือดก็ได้ หลังจากนั้น จะทำการให้ยาเคมีบำบัด กับผู้ป่วยในปริมาณสูงมาก แล้วจึงนำเซลล์ต้นกำเนิด กลับมาใช้กับผู้ป่วยได้ ช่วยลดภาวะแทรกซ้อน หลังการได้รับยาเคมีบำบัดขนาดสูง เช่น การติดเชื้อ และการมีแผลในปาก เป็นต้น โดยปกติจะใช้วิธีนี้ รักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งระยะลุกลาม หรือผู้ป่วยโรคมะเร็งบางโรค ที่ดื้อต่อการรักษา ด้วยยาเคมีบำบัดมาตรฐาน
- การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด โดยใช้เซลล์ของผู้บริจาค (allogenic stem cell transplantation) และวิธีนี้มักจะใช้รักษาโรค ที่มีความผิดปกติ ที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือด เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โรคไขกระดูกฝ่อ และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด เป็นต้น ซึ่งสามารถมีแหล่งของผู้บริจาคได้ต่าง ๆ ดังนี้
- ผู้บริจาคเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ที่พันธุกรรมจากการตรวจเข้ากันได้ 100%
- ผู้บริจาคที่มี HLA ไม่ตรงกับผู้รับ 100%
- ผู้บริจาคที่ไม่ใช่พี่น้องของผู้รับ แต่มี HLA ที่สามารถเข้ากันได้ 100%
- ผู้บริจาคมี HLA ที่เข้ากันได้กับผู้รับเพียงครึ่งเดียว ส่วนใหญ่ผู้บริจาคมักเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน หรือพ่อ แม่ ลูก
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
ก่อนเข้ารับการรักษา ผู้ป่วยจะได้รับการประเมินความพร้อม ก่อนเสมอว่า มีร่างกายแข็งแรง และพร้อมที่จะรับบริการหรือไม่ จะต้องมีการเตียมตัว โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณา เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม รวมไปจนถึงการวางแผน การรักษาก่อนการปลูกถ่าย ไม่ว่าจะเป็นการให้ยาเคมีบำบัด และการฉายแสง
เมื่อเริ่มทำการรักษา ผู้ป่วยจะต้องนอนพักรักษาตัว ในห้องปลอดเชื้อเป็นพิเศษ เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ จากนั้น ก็จะให้ผู้ป่วยรับยาเคมีบำบัด หรือการฉายแสง เป็นเวลาประมาณ 8-10 วัน ขึ้นอยู่กับโรคที่ผู้ป่วยเป็น เพื่อทำลายเซลล์ ที่ผิดปกติในร่างกาย ซึ่งก็จะมีผลต่อเซลล์ปกติอื่น ๆ ได้ด้วย เมื่อได้รับยาเคมีบำบัด หรือการฉายแสง ผู้ป่วยจะได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำนิด ทางหลอดเลือดดำใหญ่ โดยพักฟื้นให้ไขกระดูก หรือเซลล์ต้นกำเนิดทำงาน ระยะนี้ ผู้ป่วยจะต้องได้รับการดูแล อย่างใกล้ชิด และจะต้องเฝ้าระวัง ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
ระยะเวลาในการพักรักษาตัว ในโรงพยาบาล ของผู้ป่วยแต่ละราย จะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวิธีในการรักษา ด้วยสเต็มเซลล์ โดยปกติจะใช้เวลาโดยประมาณ 3-4 ชั่วโมง ในการรักษา
ผู้ป่วยจะได้รับการนัดหมาย เพื่อติดตามอาการเป็นประจำในระยะ 100 วันแรก อาจจะต้องมาติดตามนัดทุกสัปดาห์ เนื่องจากมีความเสี่ยง ต่อการเกิดผลข้างเคียงสูง หลังจากนั้น ถ้าผู้ป่วยสบายดีไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์ก็จะนัดห่างออกไปเรื่อย ๆ จนเป็น ปีละ 1-2 ครั้ง
ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจร่างกาย อย่างละเอียดและประเมินการทำงาน ของอวัยวะที่สำคัญต่าง ๆ ทุกปี เพื่อสามารถให้การวินิจฉัย และรักษาผลข้างเคียงในระยะยาว ที่อาจะเกิดขึ้นได้เร็วที่สุด
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
ถึงแม้ว่าการรักษานี้ จะสามารถที่จะรักษาโรคต่าง ๆ ให้หายขาดได้ แต่ก็ต้องพึงระวังอาการแทรกซ้อน ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตามมา เช่น
- ภาวะการติดเชื้ออย่างรุนแรง จากภูมิต้านทานต่ำในช่วงของ การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด
- ภาวะร่างกายต่อต้านเซลล์ต้นกำเนิดที่ได้รับ ซึ่งมักจะพบในผู้ป่วย ที่ได้รับเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาค หรือเกิดภาวะร่างกายปฏิเสธ เซลล์ต้นกำเนิดที่ได้รับ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยได้
- ผลจากการได้รับยาเคมีบำบัด ในขนาดที่มากเกินไป ซึ่งอาจจะทำให้เกิดผลกระทบ ต่ออวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย และอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เข้ารับการรักษา ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ จะถือว่าประสบความสำเร็จ เป็นอย่างมาก แต่ก็อาจจะมีบางกรณี ที่ไม่ประสบความสำเร็จก็เพราะว่า ร่างการของผู้ป่วยปฏิเสธ เซลล์ต้นกำเนิดที่ได้รับ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ในการใช้วิธีนี้ในการรักษา
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับจังหวัดภูเก็ต
ภูเก็ต ได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกอันดามันเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่และเป็นเกาะเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีสถานะเป็นจังหวัด โดยมีจำนวนอำเภอเพียงแค่ 3 อำเภอเท่านั้น คือ อำเภอเมือง อำเภอถลาง และอำเภอกะทู้ และด้วยลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดภูเก็ตที่เป็นเกาะ จึงทำให้มีทะเลล้อมรอบ ภูเก็ตจึงมีชายหาดที่สวยงามเป็นจำนวนมากเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและชาวต่างชาติ เช่นหาดป่าตอง หาดกะตะ หาดกะรน และหาดไม้ขาว ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรม และมีที่พักอยู่จำนวนมาก
ปัจจุบันภูเก็ตได้ริเริ่มโครงการยกระดับท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก เนื่องจากภูเก็ตเองมีความพร้อมในด้านต่าง ๆ รวมไปถึงโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ซึ่งถือเป็นระดับศูนย์โรงพยาบาลของภาคใต้ฝั่งอันดามัน โรงพยาบาล กรุงเทพ ภูเก็ต โรงพยาบาล สิริโรจน์ ที่มีชื่อเสียงและได้รับ การรับรอง มาตรฐาน JCI เป็นต้น
สถานที่ยอดนิยมในจังหวัดภูเก็ต
หาดป่าตอง เป็นหาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของจังหวัดภูเก็ต ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นที่รู้จักในเรื่องของแสงสีและแหล่งบันเทิงที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมมาพักผ่อนตลอดทั้งปี เนื่องจากมีร้านค้า ร้านอาหาร ที่พัก บริษัททัวร์ แหล่งบันเทิง และอื่นๆ ที่อำนวยความสะดวกครบครันตั้งอยู่เรียงราย นอกเหนือ จากนี้ยังมีกิจกรรมทางน้ำที่น่าสนใจ เช่น บานาน่าโบ้ท เจ็ตสกี พาราชู้ต เป็นต้น
แหลมพรหมเทพ ถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดในประเทศไทย มีลักษณะเป็นแหลมโค้งทอดตัวลงสู่ทะเล สามารถเดินลงไปที่ปลายแหลมได้ เมื่อลงไปที่ด้านล่างจะเห็นน้ำทะเลสีเขียวมรกต เวลามีคลื่นซัดเข้ามากระทบก้อนหินจะเป็นฟองสีขาวดูสวยงามเป็นอย่างยิ่ง
วัดฉลอง หรือ วัดไชยธาราราม วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดภูเก็ต เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อแช่ม หรือ พระครูวิสุทธิองศาจารย์ญาณมุณี พระครูผู้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวเมืองภูเก็ต จากเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์และคุณความดีของหลวงพ่อแช่มวัดฉลอง ในการเป็นที่พึ่งให้แก่ชาวบ้านในการต่อสู้กับพวกอั้งยี่ หากใครมาเที่ยวที่ภูเก็ตก็จะคงต้องแวะไปกราบไหว้หลวงพ่อแช่มเพื่อความเป็นสิริมงคล และเยี่ยมชมวัดที่ได้ชื่อว่ามีความสวยงามที่สุดในเมืองภูเก็ต
การเดินทางในจังหวัดภูเก็ต
ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีการเดินทางภายในจังหวัดสะดวกมาก มีสนามบินนานาชาติที่มีไฟล์ทบินมาลงแทบจะทุกชั่วโมง มีบริการรถแท็กซี่เข้าตัวเมืองภูเก็ต รถประจำทางแอร์พอตบัส รถเช่า เป็นต้น ส่วนการเดินทางภายในจังหวัด ก็มีรถตุ๊กๆ บริการภายในเขตเทศบาล หรือจะเช่าเหมารถตุ๊กๆ ไปยังสถานที่ต่าง ๆก็ได้ ราคาขึ้นอยู่กับระยะทาง มีบริการรถสองแถวออกจากตลาดสดใกล้วงเวียนน้ำพุ ถนนระนอง ไปยังหาดและสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งราคาก็ขึ้นอยู่กับระยะทางเหมือนกัน รวมไปถึงวินมอเตอร์ไซค์ เป็นต้น
ประชากรหรือผู้คนในจังหวัดภูเก็ต
ประชากรแต่เดิมในจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ เงาะซาไก และชาวยิปซีทะเล หรือ ชาวเล ต่อมาได้มีชาวอินเดีย ชาวไทย และชาวจีน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนฮกเกี้ยนอพยพเข้ามาตั้งรกรากที่นี่ ทำให้ภูเก็ตมีการผสมผสานและสืบต่อวัฒนธรรมของชาติต่าง ๆเข้าด้วยกัน จนเป็นเอกลักษณ์ของชาวภูเก็ตมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันด้วยความที่เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรม จึงทำให้มีประชากรหลั่งไหลย้ายเข้ามายังจังหวัดภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภูเก็ตมีจำนวนประชากรแฝงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย
สภาพภูมิอากาศในจังหวัดภูเก็ต
ภูเก็ตมี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน และฤดูฝน ซึ่งฤดูฝนนั้นจะเริ่มขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมจนถึงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วง ที่ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดผ่าน ส่วนฤดูร้อนเริ่มในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย ประมาณ 33.4 องศาเซลเซียส สูงที่สุดในเดือนมีนาคม ส่วนในเดือนมกราคมจะมีอุณภูมิต่ำสุด คือ 22 องศาเซลเซียส ในช่วงอากาศดีที่สุดจะอยู่ในช่วง เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน จะไม่มีฝน ท้องฟ้าแจ่มใส อุณหภูมิประมาณ 31 องศาเซลเซียสเหมาะแก่การท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง
อื่น ๆ
ภาษา ที่ใช้ในการสื่อสารของคนภูเก็ตจะเป็นภาษาไทยใต้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ พูดไม่ออกเสียง ก เป็นตัวสะกด และมีภาษาจีนฮกเกี้ยนที่คนภูเก็ตเชื้อสายจีนจะใช้ในการสื่อสารกัน สำหรับคนที่ทำงานในวงการธุรกิจท่องเที่ยวแล้ว จะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีและยังมีภาษาจีนและรัสเซียที่ยังเป็นที่ต้องการของตลาดอีกเช่นกัน
การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในจังหวัดภูเก็ต นอกจากภูเก็ตจะมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากมายแล้ว ยังเป็นที่ยอมรับในเรื่องการแพทย์ เพราะมีโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน JCI อย่างเช่น โรงพยาบาล กรุงเทพ ภูเก็ต และ โรงพยาบาล สิริโรจน์ อีกทั้งยังมีคลินิกเสริมความงาม และ คลินิกทันตกรรม หลากหลายแหล่งให้เลือกอย่างหลากหลายเช่นกัน