สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ ออลออนโฟร์ ใน นครราชสีมา
All-on-4 หรือ ออลออนโฟร์ เป็นเทคนิคการทำทันตกรรม โดยการฝังรากฟันเทียมที่ทำจากวัสดุไทเทเนียมลงบนขากรรไกร เพื่อทดแทนรากฟันธรรมชาติของคนเราที่สูญเสียไป และ All-on-4 ก็ยังเป็นเทคนิคการทำรากเทียมที่ใช้รากเทียมเพียง 4 ราก ฝังลงบนขากรรไกรด้านบน หรือล่าง เพื่อยึดสะพานฟัน หรือฟันปลอมให้แน่นขึ้นได้ประมาณ 10 - 14 ซี่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องฝังรากเทียมแทนรากฟันทุกซี่ที่สูญหายไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีฟันผุ ฟันเหลือน้อยซี่ และเหงือกมีปัญหา รวมถึงผู้ที่มีสภาพฟันไม่ดีก็ด้วย
รากฟันเทียม All-On-4 จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยทำให้ฟันปลอมทั้งปากมีความแน่นขึ้น จากการใช้สกรูมายึดฟันปลอมเข้ากับแกนหลักบนรากฟันเทียม ซึ่งต้องทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง จำเป็นต้องกลับมาพบทันตแพทย์เพื่อถอดอุปกรณ์ เครื่องมือออกมาทำความสะอาด และต้องดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง
โดยปกติทั่วไป หลักการของ All-on-4 นั้น เป็นการทดแทนฟันทั้งขากรรไกรโดยใช้รากเทียม 4 ราก โดยที่รากฟันเทียม 2 รากด้านหลัง จะถูกฝังแนวเอียงทำมุม 45 องศา มาทางด้านหน้า เพื่อใช้ประโยชน์จากกระดูกขากรรไกรด้านหน้า ที่ส่วนใหญ่มักจะมีมากกว่าด้านหลัง แต่ถ้าหากจะฝังในแนวปกติ จำเป็นต้องปลูกกระดูกเพิ่มเติม
ชนิดของฟันปลอมที่ใส่บนรากเทียมระบบ All-on-4
โดยทั่วไป จะมีวัสดุสำหรับทำฟันปลอมด้วยกัน 3 แบบ ดังนี้
1. อะคริลิกแบบเสริมความแข็งพิเศษ
2. อะคริลิกบนโครงโลหะ
3. เซรามิกบนโครงโลหะ
โดยปกติจะใช้อะคริลิกแบบเสริมความแข็งพิเศษ สำหรับฟันปลอมที่ต้องใส่ทันทีหลังฝังรากฟันเทียม เพราะว่าจะมีน้ำหนักเบา และแรงกัดที่น้อย มีส่วนช่วยในการลดแรงกระทำต่อรากฟันเทียมที่เพิ่งฝังใหม่ ๆ ที่รอให้กระดูกยึดติดกับรากฟันเทียม
อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับการรักษา สามารถใช้ฟันปลอมชุดแรกนี้ไปเรื่อย ๆ ได้ ตราบที่การใช้งานยังปกติอยู่ และโดยทั่วไปจะเริ่มให้เปลี่ยนเป็น ฟันปลอมอะคริลิกบนโครงโลหะ หลังการฝังรากฟันเทียมผ่านไปแล้ว 6 เดือนขึ้นไป เพราะว่ามีความแข็งแรง และใช้งานได้ดีกว่า
ผู้ที่เหมาะกับการทำรากฟันเทียมทั้งปาก All-on-4
1. คนที่มีปัญหามาจากการทำฟันปลอมชนิดอื่น ๆ และมีฟันโยกคลอนในขั้นที่จำเป็นต้องถอนออก
2. คนที่มีปัญหาสูญเสียกระดูกรองรับฟัน
3. คนที่มีปัญหาโรคเหงือก และภาวะสูญเสียฟันในขั้นรุนแรง
4. คนที่สูญเสียฟันแบบทั้งปาก รวมถึงการสูญเสียเฉพาะฟันบน หรือ ฟันล่าง
5. ใช้ฟันปลอมแล้วรู้สึกหลวม ใส่ได้ไม่พอดี ไม่กระชับ ที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
ทันตแพทย์จะวางแผนการรักษา และเตรียมช่องปากให้พร้อม ซึ่งอาจรวมถึงมีการถอนฟันผุ รักษาโรคเหงือกต่างๆ เสียก่อน และมีการฉีดยาชาเฉพาะที่หรือการดมยาสลบขึ้นอยู่กับการเลือกวิธีการรักษา ก่อนทำการฝังรากเทียมลงบนขากรรไกรโดยฝังในตำแหน่งฟันหน้า 2 ตัว ฟันหลัง 2 ตัว เพื่อที่สามารถยึดฟันปลอมให้แน่นได้เป็นอย่างดี
ขั้นตอนการทำ All-on-4
1. ทันตแพทย์จะทำการตรวจช่องปาก ถ่ายภาพรังสี 2 มิติ หรือ 3 มิติ และวางแผนการรักษา ร่วมกับแพทย์เฉพาะทางด้านต่าง ๆ รวมถึงผู้เข้ารับการรักษาก็ด้วย เพื่อผลลัพธ์ที่ออกมาอย่างดีที่สุด
2. พิมพ์ปากเพื่อทำฟันปลอม และแนวนำการฝังรากฟันเทียม
3. ในช่วงวันที่ทำการรักษา จะมีการถอนฟัน ปลูกกระดูก (ในกรณีที่จำเป็น) และฝังรากฟันเทียม
4. จากนั้นจะพิมพ์ปากเพื่อบันทึกตำแหน่งแกนฟันเทียม และใส่ฟันปลอมในวันเดียวกันหรือวันรุ่งขึ้น
ข้อดี ของ All-on-4
1. เป็นฟันปลอมที่ใส่บนรากฟันเทียมได้ทันทีหลังการฝังรากฟันเทียม
2. ใช้เวลาน้อยกว่ารากฟันเทียมแบบอื่น ๆ
ข้อเสีย ของ All-on-4
1. ต้องทำความสะอาดใต้ฟันปลอมเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเศษอาหารติดอยู่ รวมถึงยังคงต้องเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อการทำความสะอาดที่สมบูรณ์ และเพื่อให้กระดูกและเหงือก มีสภาพสมบูรณ์แข็งแรง
2. ฟันปลอมชุดแรกที่ใส่ทันทีหลังฝังรากฟันเทียม ยังคงเป็นชุดชั่วคราวและจำเป็นต้องเปลี่ยนอีกครั้งให้เป็นวัสดุที่แข็งแรงสวยงามขึ้น เพื่อการใช้งานในระยะยาว
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
หลังการฝังรากเทียมควรพักผ่อนประมาณ 4 วัน ก่อนกลับไปทำงานกิจวัตรประจำวันต่างๆที่ไม่หักโหม และใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์เพื่อให้รากเทียมยึดติดกับกระดูก
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
ควรพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัวในช่วง 2-3 วันแรกหลังการผ่าตัด หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่หักโหม เช่น การออกกำลังกายอย่างหนัก ยกของหนัก หลีกเลี่ยงหรืองดการบดเคี้ยวอาหารที่แข็งโดยเฉพาะในบริเวณนั้น และหมั่นดูแลรักษาสุขภาพอนามัยในช่องปากอยู่เสมอ
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
จากการศึกษาพบว่ามีอัตราความสำเร็จในการฝังรากฟันเทียมถึง 94% และอาจพบอาการแทรกซ้อนได้ เช่น เลือดหยุดไหลช้า วิงเวียน มีไข้ เหงือกบวมหรือเปลี่ยนสี ปากแห้ง คอแห้ง เหน็บชา หรือรากเทียมไม่ประสานกันกับกระดูก เป็นต้น
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับจังหวัดนครราชสีมา
นครราชสีมา หรือที่รู้จักกันในนาม โคราช เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทยและมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมาได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่ภาคอีสาน ที่มีเส้นทางการคมนาคมเชื่อมโยงไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคเหนือและชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ทำให้นครราชสีมาเป็นเมืองศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งอันดับ 2 ของประเทศรองจากกรุงเทพมหานคร มีโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศรวมถึงสถานพยาบาลอื่น ๆ ทั้งที่เป็นของภาครัฐที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข สังกัดมหาวิทยาลัยและกระทรวงกลาโหม ตลอดจนโรงพยาบาลเอกชน คลินิกอยู่เป็นจำนวนมาก
สถานที่ยอดนิยมในจังหวัดนครราชสีมา
อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี สิ่งที่ต้องทำหรือมาเยี่ยมชมเมื่อเดินทางมายังโคราชก็คือ การไปกราบสักการะย่าโม หรือ ท้าวสุรนารี ที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ใจกลางเมืองโคราช ที่นี่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมือง เป็นที่เคารพสักการะในวีรกรรมความกล้าหาญของคุณหญิงโมที่ได้รวบรวมชาวบ้านเข้าสู้รบและต่อต้านกองทัพเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ไม่ให้เข้าโจมตีพระนครได้สำเร็จ
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่นี่เป็นหนึ่งในพื้นที่ป่าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นอุทยานแห่งชาติอันดับต้น ๆ ที่หลาย ๆ คนนึกถึงเมื่ออยากไปสูดอากาศบริสุทธิ์ ประกอบไปด้วย ป่าดิบชื้น, ป่าดงดิบแล้ง, ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบเขา และทุ่งหญ้าเขตร้อน
วัดบ้านไร่ หลวงพ่อคูณ เป็นวัดที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อชาวเมืองโคราชและคนไทยทั่วทุกจังหวัด เมื่อครั้งที่ “หลวงพ่อคูณ” ยังมีชีวิตอยู่มีชาวบ้านและประชาชนจากทั่วสารทิศต่างเดินทางมากราบไหว้ขอพร ขอของดีของขลังจากหลวงพ่อคูณให้ทำมาค้าขึ้นและยังมาเยี่ยมชมวัดที่มีการตกแต่งอย่างสวยงามและยังมีหอพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงให้ความรู้ ความเป็นมาของวัดบ้านไร่
การเดินทางในจังหวัดนครราชสีมา
เราสามารถเดินทางสู่จังหวัดนครราชสีมาได้หลายวิธี ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว รถประจำทาง เครื่องบิน และรถไฟ เพราะอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียงประมาณ 259 กิโลเมตร ส่วนการเดินทางภายในตัวจังหวัดนครราชสีมามีรถชนิดต่าง ๆ ให้บริการหากไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ก็มีรถแท็กซี่มิเตอร์ รถสองแถววิ่งบริการภายในเขตเทศบาลและบริเวณใกล้เคียง และมีรถสามล้อเครื่องและมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จอดอยู่ตามจุดต่าง ๆ
ประชากรหรือผู้คนในจังหวัดนครราชสีมา
โคราชมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ มากเป็นอันดับ 1 ของภาคอีสาน ประกอบด้วยประชากรหลากหลายเชื้อชาติหรือหลายชาติพันธุ์ แต่กลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดนครราชสีมาที่มีจำนวนมากมีอยู่สองกลุ่มใหญ่คือ ไทย (หรือเรียกอีกอย่างว่า ไทยโคราช) และอีกกลุ่มคือ ลาว (หรือไทยอีสาน) และมีชนกลุ่มน้อยอีกได้แก่ มอญ กุย (หรือส่วย) ชาวบน จีน ไทยวน ญวน และแขก
สภาพภูมิอากาศในจังหวัดนครราชสีมา
จังหวัดนครราชสีมา จัดอยู่ภายในเขตภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าเมืองร้อนหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เขตภูมิอากาศแบบสวันนาซึ่งเป็นลักษณะอากาศที่มีฤดูแล้งสลับฤดูฝนอย่างเด่นชัด มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 33 องศาเซลเซียส
อื่น ๆ
ภาษาโคราชเป็นภาษาผสมผสานมีลักษณ์กึ่งภาษากลางและภาษาอีสาน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวนิยมพูดเฉพาะบางอำเภอได้แก่ อำเภอพิมาย อำเภอโนนสูง อำเภอขามสะแกแสง อำเภอโชคชัย อำเภอเมือง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ สำเนียงภาษาไทยโคราชในแต่ละอำเภอก็ยังมีความแตกต่างกัน ปัจจุบันคนพูดภาษาไทยโคราชเป็นคนรุ่นเก่าหรือที่อยู่ตามชนบท คนที่อยู่ในเขตเมืองเมื่อพูดกับคนโคราชด้วยกันมักใช้ภาษาไทยกลางแต่ปรับเสียงวรรณยุกต์ให้เป็นสำเนียงโคราช