สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ การฉีดไขมัน ใน ไทย
เมื่อย่างเข้าสู่วัยกลางคน หลายคนอาจประสบกับปัญหาผิวเหี่ยว แห้ง ขาดความเต่งตึง ชุ่มฉ่ำ ดูอ่อนเยาว์ ทำให้ดูไม่สดใส สวยงาม ดังนั้น วิวัฒนาการทางการแพทย์ จึงได้คิดค้นวิธี คืนความฉุ่มฉ่ำ ชุ่มชื้น บนใบหน้า และส่วนต่าง ๆ บนร่างกาย แถมมีความปลอดภัย นั่นก็คือ การฉีดไขมัน (Fat transfer) เป็นการศัลยกรรม ที่เติมเต็มด้วยไขมันตัวเอง มีการนำเอาไขมัน จากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่สะสมไว้มาก มาทำการคัดแยกเซลล์ไขมัน อย่างพิถีพิถัน แล้วนำมาฉีดเติม ไปยังบริเวณที่เป็นจุดบกพร่อง ส่วนต่าง ๆ ตามต้องการ การฉีดไขมันที่ ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ การฉีดไขมันที่ใบหน้า เพราะใบหน้าเป็นหน้าต่าง ของหัวใจ หน้าสวย อะไร ๆ ก็จะดีตามไปหมด และสามารถ จัดการกับปัญหาริ้วรอยตื้นลึก ทำให้รูขุมขนเล็กลง แก้จุดบกพร่อง ต่าง ๆ ได้ และยังทำให้ เม็ดสีจางลงได้ด้วย โดยรวมแล้วทำให้ผิวหน้าดูฉ่ำ สดใสขึ้น อย่างทันตาเห็น อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูงกว่าการใช้สารเติมเต็มแบบสังเคราะห์
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
ประเภทของการฉีดไขมัน
1. การฉีดไขมันหน้า หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึก สิว ผิวหน้าหมองคล้ำ เหี่ยวแห้ง ศัลยแพทย์ก็จะนำไขมันจากบริเวณหน้าท้อง ต้นขา หรือ บริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย มาฉีดลงบนใบหน้าของคุณ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ไขมันฉีดเพื่อลดเลือนริ้วรอยเส้นระหว่างจมูกและปาก พร้อมทั้งปรับโฉม หรือ เสริมริมฝีปากได้อีกด้วย
2. การเสริมเต้านมหรือทำนม ด้วยการฉีดไขมันจากบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นการเสริมหน้าอกด้วยการนำไขมันจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกายมาฉีดเพิ่มขนาดหน้าอกเช่นกัน เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่มีหน้าอกขนาดเล็ก และต้องการเพิ่มขนาดหน้าอก เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้บุคลิก ดูสวยมีน้ำมีนวล ในแบบธรรมชาติ
3. การใช้ถุงเต้านมเทียม หรือ การปรับเสริมเต้านม เหมาะสำหรับการแก้ไข เติมเต็ม ขนาดเต้านม ที่ไม่ได้รูปในขณะที่ทำการปลูกถ่ายเต้านมใหม่ เพื่อให้ได้รูปร่างที่สวยงามตามความต้องการ
4. การสร้างเต้านมขึ้นมาใหม่ ด้วยการปลูกถ่ายไขมัน เหมาะสำหรับแก้ไขปัญหาภายหลังจากการผ่าตัดมะเร็งเต้านมออก เพราะวิธีการปลูกถ่ายไขมัน เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพและได้ผลมาก
5. การเสริมสะโพก ด้วยการปลูกถ่ายไขมัน เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการเสริมบั้นท้ายให้ดูใหญ่ขึ้น มีส่วนโค้งงอมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม อื่น ๆ
6. การฟื้นฟูมือ ด้วยการปลูกถ่ายไขมัน เป็นการแก้ไขริ้วรอยความเหี่ยวย่น เส้นเลือดเส้นเอ็นโผล่มากไป ทำให้มือกลับมาดูเรียบเนียน ดูอ่อนกว่าวัยได้ด้วย
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
ระยะเวลาในการพักฟื้นจะใช้เวลาต่างกันในแต่ละประเภทของการฉีดไขมัน หากคุณปลูกถ่ายไขมันที่สะโพก คุณจะต้องนอนคว่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียดสีกับที่นอน ซึ่งจะทำให้สะโพกเสียรูปได้ อีกทั้งยังต้องพยายามยืนบ่อย ๆ อีกด้วย เป็นเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ เพราะการนั่งจะทำให้ไขมันสลายออกไป นอกจากนี้การฉีดไขมัน ยังทำให้มีอาการบวมเกิดขึ้นได้ เป็นระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ อีกทั้งยังมีอาการเจ็บก็เกิดขึ้นได้ในช่วง 2-3 วันแรก ดังนั้นให้มั่นปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดไขมันนั้น จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน อาจต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือน
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
1. หมั่นตรวจสุขภาพตามแพทย์นัด และรับประทานอย่างสม่ำเสมอ ๆ รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงการใช้ยาด้วยตนเอง
2. รับประทานอาหารสุขภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น
3. มีคนใกล้ชิดช่วยดูแลคุณในช่วงระยะเวลา 2-3 วันแรก
4. พยายามหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก และพึงระวังการนั่งด้วยก้น สำหรับคนที่ปลูกถ่ายไขมันบริเวณสะโพกหรือก้น
5. หากมีอาการผิดปกติ หรือมีความความเจ็บปวด อาการฟกช้ำ ให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
การปลูกถ่ายไขมัน กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะเป็นการใช้ไขมันจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเราเองมาเสริมส่วนที่ต้องการเสริม ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ก้น หรือ มือ เป็นต้น ซึ่งถือได้ว่ามีความปลอดภัย และสวยแบบธรรมชาติจากไขมันตัวเอง อัตราความสำเร็จในการทำเสริมเต้านมด้วยการฉีดไขมัน มีอัตราความสำเร็จที่เพิ่มขึ้น 76% ในปี 2016 ที่ผ่านมา ในขณะที่การเสริมก้น หรือสะโพก เพิ่มขึ้น 26% เช่นเดียวกัน
ภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้คือการมีลิ่มเลือดอุดตัน การติดเชื้อบริเวณแผล เป็นต้น ดังนั้นคุณจะต้องดูแลรักษาและทำความสะอาดแผลให้ดี และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ประเทศไทย มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางราชการว่า ราชอาณาจักรไทย ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายโดยแบ่งออกเป็น 4 ภูมิภาค 77 จังหวัด และมีอากาศค่อนข้างร้อนชื้นตลอดทั้งปี
เป็นที่ยอมรับกันว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก นำพาชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยให้เดินทางมาท่องเที่ยวและอาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วยเหตุผลนานานับประการ และในปัจจุบันประเทศไทยยังมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เนื่องจากมีความพร้อมในการให้บริการที่ได้มาตรฐานในระบบสากล รวมทั้งมีค่ารักษาพยาบาลที่ถูกกว่า และใน ปัจจุบัน ประเทศไทย มีจํานวนสถานพยาบาล ที่ได้รับ การรับรอง มาตรฐาน ในระดับ สากล JCI มากที่สุดใน AEC ถึง 56 แห่ง ซึ่งมาก เป็นอันดับ 4 ของโลก อีกด้วย
จังหวัดท่องเที่ยวที่ยอดนิยมของไทย
กรุงเทพมหานคร อันดับหนึ่งตลอดกาลคงต้องยกให้กับจังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยและเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมากมาย แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีย่านธุรกิจ และ แหล่งช้อปปิ้งอีกมากมาย ซึ่งถ้าพูดถึงที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ทุกคนต้องแวะไป ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติคือ วัดพระแก้ว, วัดอรุณ, วัดโพธิ์, เยาวราช, ถนนข้าวสาร, ตลาดนัดจตุจักร และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งการเดินทางคมนาคมในกรุงเทพฯนั้นก็แสนจะสะดวกสบาย สามารถเดินทางได้โดยขนส่งสาธารณะ เช่น Airport link, BTS, MRT, รถแทกซี่, รถเมล์, รถตุ๊กตุ๊ก เป็นต้น
เชียงใหม่ เชียงใหม่ก็ถือเป็นเมืองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในช่วงหน้าหนาว ซึ่งมีอากาศที่ค่อนข้างเย็นสบายละมีบรรยากาศที่ดี เชียงใหม่ยังเป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สมบูรณ์ และยังเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม สถานที่ที่น่าสนใจในเชียงใหม่ ได้แก่ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์ ถนนนิมมานเหมินทร์ วัดอุโมงค์ เป็นต้น เชียงใหม่เป็นเหมือนศุนย์กลางการท่องเที่ยวทางภาคเหนือ เพราะสามารถต่อรถไปยังที่เที่ยวรอบ ๆ ได้อย่างสะดวก เช่น จ. เชียงราย, จ. แม่ฮ่องสอน เป็นต้น
ภูเก็ต เกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีหาดทรายที่สวยงาม มีน้ำทะเลใส เหมาะกับการเล่นน้ำและดำน้ำ หรือทำกิจกรรมทางน้ำแบบอื่น ๆ ชายหาดที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวก็คือ หาดป่าตอง, หาดกะตะ, หาดกะรน เป็นต้น ทั้งสามารถซื้อทัวร์แบบไปเช้าเย็นกลับยังเกาะใกล้ ๆได้ เช่น หมู่เกาะพีพี, เกาะราชา, เกาะไข่ เป็นต้น หากใครที่ไม่ชอบทะเล ก็สามารถเข้าไปเที่ยวชมวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวภูเก็ตภายในตัวเมืองได้ เช่น สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสที่ถนนถลาง, ซอยรมณีย์ หรือ ไหว้พระขอพรจากวัดฉลองซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวภูเก็ต เป็นต้น
พัทยา ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนและเป็นที่นิยมมากแห่งหนึ่งไม่แพ้สถานที่อื่น ๆ และเป็นที่รู้จักกันมากกว่าตัวจังหวัด และเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตของคนไทยเพราะใกล้กรุงเทพเพียงแค่ 100 กิโลเมตร สามารถมาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้สบาย และนอกจาก วอล์คกิ้งสตรีท ที่หลายๆคนนึกถึง พัทยายังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ปราสาทสัจธรรม, สวนน้ำรามายณะ เป็นต้น ซึ่งการเดินทางยอดนิยมสำหรับการมาพัทยาคือ การขับรถยนต์ส่วนตัว และการนั่งรถตู้จากกรุงเทพฯ และเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับเดินทางมาพักผ่อนแบบครอบครัวอีกด้วย
สภาพภูมิอากาศของประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เขตศูนย์สูตร มีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็นตัวกำหนดลักษณะอากาศของประเทศไทย พื้นที่ส่วนบนเป็นภูเขาและที่ราบสูง พื้นที่ส่วนกลางเป็นที่ราบลุ่ม พื้นที่ทางใต้เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล
ลักษณะภูมิอากาศ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล ดังนี้ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม, ฤดูฝน จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ถึงตุลาคม และฤดูหนาว จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน ถึงมกราคม
อุณหภูมิโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ร้อนและไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีค่าเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 27 องศาเซลเซียส มีค่าสูงสุดเฉลี่ย 32 องศาเซลเซียส และและต่ำสุด 22 องศาเซลเซียส โดยมีค่าอุณหภูมิผันแปรตามสภาพภูมิประเทศ กล่าวคือ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศร้อนจัดและหนาวจัดกว่าภาคอื่น ๆ, ภาคกลางและภาคตะวันออก มีบางส่วนของพื้นที่ติดกับทะเล ทำให้อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วไปประมาณ 28 องศาเซลเซียส, ภาคใต้ทั้งสองฝั่งล้อมรอบด้วยทะเล อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27.3 องศาเซลเซียส
การเดินทางในประเทศไทย
การเดินทางในประเทศไทย ไม่ว่าจะเดินทางไปที่จังหวัดไหนก็มีความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางอากาศ หรือทางน้ำ
ทางบก ก็มีเส้นทางหลักที่สะดวกไปได้ทั่วถึงทุกจังหวัดในประเทศไทย และมีทางเลือกที่หลากหลาย เช่น การเดินทางโดยรถประจำทาง, รถแทกซี่ (มีบริการในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ๆ), รถมอเตอร์ไซค์ (นิยมใช้บริการในระยะใกล้ๆ) รถเช่า, หรือรถยนต์ส่วนบุคคล
ทางอากาศ ปัจจุบันประเทศไทยมีสายการบินในประเทศหลายสาย ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดนิยม เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยว
ทางน้ำ เนื่องจากเมืองไทยมีแม่น้ำลำคลองอยู่ทั่วไป และยังมีหลายคลองที่มีเรือโดยสารวิ่งรับส่งคนตามท่าเรือต่าง ๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
ประชากรในประเทศไทย
ประเทศไทย มีจำนวนประชากรโดยประมาณ 65 ล้านคนซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยประมาณ 3 ใน 4 มีเชื้อสายไทย นอกจากนี้ยังมีคนไทยเชื้อสายจีนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งคนไทยเชื้อสายมลายูในภาคใต้ตอนล่าง และคนไทยเชื้อสายมอญ เขมร และชาวเขาเผ่าต่าง ๆ และประชากรส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ตามลำดับ
ข้อมูลอื่น ๆ
ภาษา ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียว มีการระบุว่าเป็นภาษาหลักของการศึกษาและใช้ในราชการ ในขณะที่ ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่สองที่พบมากที่สุดในประเทศไทย
สกุลเงิน สกุลเงินที่ใช้เป็นสกุลเงินบาท
วันหยุด ราชการ ที่สำคัญ ของไทย ได้แก่ วัน ขึ้นปีใหม่, วัน สงกรานต์,วัน เฉลิมพระชน มพรรษา ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินี, วัน แม่แห่งชาติ เป็นต้น
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นับเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ทำรายได้เข้าสู่ประเทศอย่างมหาศาลในเวลาที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในประเทศไทย เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและโดดเด่น โดยที่ประเทศไทย ติดอันดับ 1 ของ เอเชีย เนื่องจากไทยมีหน่วยการแพทย์ที่มีคุณภาพ มีราคาที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้การรักษา รวมถึงประเทศไทยนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ มีจุดเด่น ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก และมีสถานพยาบาลที่พร้อม เช่น กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, และเกาะสมุย เป็นต้น